
Apple เปิดกำหนดงานใหญ่ประจำปี: เปิดตัว iPhone 17 และการมาของ “iPhone 17 Air” ที่บางที่สุด
วันที่ 9 กันยายนนี้จะเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในปฏิทินของวงการเทคโนโลยี เพราะ Apple ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า จะจัดงาน “Awe Dropping” Special Event ณ Steve Jobs Theater ภายใน Apple Park ซึ่งเป็นงานที่ทั่วโลกต่างจับตามองเพื่อรอการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ประจำปี
ไฮไลต์สำคัญที่คาดว่าจะได้เห็นในงาน
1. iPhone 17 Series: การยกเครื่องครั้งใหญ่
ข่าวลือที่หนาหูที่สุดในตอนนี้คือการเปิดตัว iPhone 17 Series ที่คาดว่าจะประกอบด้วย 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, iPhone 17 Pro, iPhone 17 Pro Max และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือการมาของรุ่นใหม่ที่คาดว่าจะใช้ชื่อว่า “iPhone 17 Air” ซึ่งจะเข้ามาแทนที่รุ่น Plus โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ความบางเฉียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยลือกันว่าอาจจะบางเพียง 5.5 มม. เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดชิปเซ็ตเป็น Apple A19 ที่จะให้ประสิทธิภาพที่ก้าวล้ำกว่าเดิม และอาจรวมไปถึงการใช้จอ ProMotion 120Hz กับทุกรุ่นในซีรีส์ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ก่อนหน้านี้สงวนไว้สำหรับรุ่น Pro เท่านั้น
สำหรับรุ่น Pro นั้น ข่าวลือระบุว่า Apple อาจมีการปรับดีไซน์โมดูลกล้องหลังใหม่ และอาจเปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องจากไทเทเนียมมาเป็นอลูมิเนียมผสมกระจก ซึ่งอาจส่งผลให้มีสีสันใหม่ๆ อย่างสีส้มเข้ามาเป็นตัวเลือก
2. Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3
นอกจาก iPhone แล้ว งานเปิดตัวประจำปีของ Apple ยังมักจะมาพร้อมกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย โดยในปีนี้คาดว่าจะมีการเปิดตัว Apple Watch Series 11 ที่จะมาพร้อมชิป S11 และฟีเจอร์ด้านสุขภาพใหม่ๆ เช่น Sleep Score และการตรวจจับภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเรื่องการเปิดตัว AirPods Pro 3 ที่จะมาพร้อมกับการอัปเกรดประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
การคาดการณ์วันวางจำหน่ายและ iOS 26
หลังจากงานเปิดตัวในวันที่ 9 กันยายน ตามธรรมเนียมแล้ว Apple มักจะเปิดให้จอง iPhone รุ่นใหม่ในวันศุกร์ถัดมา ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเป็นวันที่ 12 กันยายน และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 กันยายน นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการ iOS 26 เวอร์ชันเต็มก็จะพร้อมให้ผู้ใช้ทั่วไปได้ดาวน์โหลดก่อนการวางจำหน่าย iPhone 17 เล็กน้อย โดย iOS 26 จะมาพร้อมกับอินเทอร์เฟซใหม่ในชื่อ “Liquid Glass UI” ที่จะทำให้องค์ประกอบต่างๆ ดูโปร่งใสและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น
ที่มา: The Economic Times, ZDNET, Hindustan Times
